การผลักมือกับการใช้แรงวัวแรงควายผลักกัน
- 26/05/2018
- Posted by: Liang
- Category: ไท่จี๋เฉวียน (มวยไท่เก๊ก)
ชื่อเรื่อง: การผลักมือกับการใช้แรงวัวแรงควายผลักกัน
บันทึกโดย: ฉวีซื่อจิ้ง
หนังสือ: หยางเจียไท่จี๋ เหลี่ยงอ้านอี้เจีย
เฉิงฝู่กงเคยกล่าวไว้ว่า “ผู้ฝึกไท่จี๋ในโลกนี้นับว่ามีไม่น้อย พึงรู้จักแยกแยะบริสุทธิ์กับมั่วซั่ว (หมายถึงแยกแยะไท่จี๋ของจริงแท้ กับของที่อาศัยผสมนั่นนี่มั่วซั่วขึ้นมา) ว่ามีรสชาติหรือลักษณะที่แตกต่างกันอย่างไร มวยไท่จี๋อันบริสุทธิ์นั้น แขนเหมือนสำลีหุ้มเหล็ก อ่อนหยุ่นหนักหน่วง ซึ่งสามารถแยกแยะได้ในเวลาผลักมือ เมื่อที่หนา (ยึดกุม) คนนั้น มือเบาอย่างยิ่งแต่คนไม่อาจต้านทาน เมื่อที่ปล่อย (ฟ่าง) คนออกไป เหมือนยิงลูกจากหนังยาง (หนังสติ้ก) ฉับพลันไม่มีติดขัด ไม่กินแรงแม้แต่น้อย ผู้ที่ปลิวออกไป เพียงรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวนิดเดียวโดยไม่รู้สึกเจ็บปวด ก็ปลิวออกไปนอกหนึ่งจ้าง (3.3 เมตร) แล้ว เมื่อที่เกาะติดผู้คน ไม่ใช้การคว้าจับด้วยมือแม้แต่น้อย เพียงเกาะติดเบาๆ ก็เหมือนมีกาวที่แกะไม่ออกติดไว้ ทำให้สองแขนอีกฝ่ายเมื่อยชาไม่อาจทนไหว เช่นนี้จึงเป็นมวยไท่จี๋ที่แท้จริง”
ช่วงทศวรรษที่ 50 ที่แล้ว ทุกๆ สุดสัปดาห์ ฉันต้องไปยังสวนสาธารณะไว่ทาน ดูทักษะการผลักมือของอาจารย์ลุงเถียนเจ้าหลิน อาจารย์ลุงเถียนเจ้าหลินนั้นเวลาหนาคนมือเบาแต่ผู้คนไม่อาจต้าน เวลาปล่อยคนเหมือนยิงลูกกระสุน เกาะติดคนไม่ใช้มือจับแต่ก็เหมือนกาวไม่อาจหลุดออกได้จริงๆ เป็นดังเช่นที่เฉิงฝู่กงกล่าวไว้ นี่คือมวยไท่จี๋ที่บริสุทธิ์แท้จริงแล้ว ทุกวันนี้ ทักษะวิชาเช่นนี้หาได้ยากแล้ว ฉันเป็นผู้ที่รักในกงฟูของมวยไท่จี๋ หากรู้ว่าที่ไหนมีอาจารย์ใหญ่มวยไท่จี๋ หรือผู้สืบทอดมวยไท่จี๋ จะต้องตั้งใจเดินทางไปพบปะสัมผัสด้วยความจริงใจ แต่เวลาไปคาดหวังมาก บ่อยๆ ก็ผิดหวังกลับมา ทักษะของผู้ที่เรียกตัวเองว่า “อาจารย์ใหญ่” (ต้าซือ) เหล่านี้ เปรียบกับสิ่งที่เฉิงฝู่กงเรียกว่าเป็นมวยไท่จี๋บริสุทธิ์แท้แล้วช่างห่างไกลเสียนี่กระไร! ฉันเรียนกับอาจารย์จิ่งหัวไม่มีศิษย์พี่น้อง จึงไม่มีคู่สำหรับฝึกผลักมือด้วย ดังนั้นครั้งหนึ่งอาจารย์จิ่งหัวจึงให้ฉันไปผลักมือที่ลานฝึกของศิษย์พี่จางอี้ (ศิษย์พี่ต่างอาจารย์) เป็นเวลาสิบเดือน ภายหลังยังได้แลกเปลี่ยนวิชากับหลินปิ่งเย่าศิษย์ในปิดประตู (ศิษย์คนสุดท้าย) ของอาจารย์ลุงเฉินเวยหมิงด้วย อาจารย์จิ่งหัวกล่าวไว้ว่า “ไม่ควรไปลองผลักมือกับผู้คนตามสวนมั่วซั่ว เรียนมวยนั้นง่ายแก้มวยยาก หากทำจนกลายเป็นใช้แรงไปผลักไปดึง หรือติดพวกนิสัยที่ไม่ดีอย่างการขโมยตี (หรืออยู่ๆ ผลัก อยู่ๆ ดึงแบบลูกเซอร์ไพรส์ที่บ้านเราชอบทำกัน) หรือไปกอดปล้ำทุ่มเหวี่ยง ในระยะยาวก็ยากจะแก้ไขแล้ว”
ในเวลานั้นอาจารย์จิ่งหัวสอนฉันการใช้ของมวยไท่จี๋, การผลักมืออยู่กับที่, การผลักมือเคลื่อนที่, ต้าหลีว์, สานโส่ว (มืออิสระ) ทั้งหมดล้วนแต่แสดงให้เห็นทั้งสิ้น ยังมีอธิบายรายละเอียดวิธีในแรงรับ (เจียจิ้น), แรงชักนำ (หยิ่นจิ้น), แรงสะเทิน (ฮว่าจิ้น), แรงยึดกุม (หนาจิ้น) ต่างๆ ทั้งหมด มีแค่ไม่พูดถึงฟาจิ้น ทำให้ฉันสับสนไม่เข้าใจอย่างยิ่ง อาจารย์จิ่งหัวบอกว่า: “ไท่จี๋ไม่ใช้มือ ใช้มือไม่ใช่ไท่จี๋ ฟาจิ้นไม่ใช่การใช้มือไปผลักดันทุบตีโดยสิ้นเชิง แต่เป็นการใช้ตันเถียนเน่ยจิ้นดีดคนออกไป คนอื่นสัมผัสฉันที่ไหน ก็ตีเขาออกไปที่นั่น ดังนั้นจึงมีกล่าวว่า: มือไม่ใช่มือ ทั้งร่างคือมือ กงฟูของเธอนั้นยังตื้น ตันเถียนเน่ยชี่ยังไม่พอ หากสอนเธอฟาจิ้นตอนนี้ จะต้องใช้มือไปผลักดันแน่นอน หรือไม่ก็ใช้ร่างกายไปค้ำยันอีกฝ่าย หากฝึกฝนสิ่งที่ผิดเช่นนี้ติดตัวไป ไท่จี๋กงฟูที่บริสุทธิ์ก็จะยากที่เกิดขึ้นในร่างกายแล้ว หากเธอตั้งใจฝึกจ้านจวงและรำมวยอย่างหยุ่นและคลาย สะสมระยะเวลานานวัน บ่มเพาะเจินชี่ (ปราณแท้) ก่อนสวรรค์ รอจนตันเถียนเน่ยชี่เติมเต็มแล้ว ฟาจิ้นอย่างไรนั้น เพียงชี้จุดก็เข้าใจทะลุปรุโปร่งแล้ว เรื่องนี้อยากเร่งจะกลับช้า จำไว้ให้ดี!”
ฉันตั้งใจเชื่อฟังการสอนของอาจารย์ ทำตามขั้นตอน ค่อยๆ ฝึกฝน ไม่กล้าเกียจคร้าน วันหนึ่ง ฉันอยู่ในห้องทำงานในโรงเรียนตรวจการบ้านลูกศิษย์ ที่ระเบียงมีนักเรียนสองคนวิ่งเล่นไล่กันส่งเสียงดังอย่างสนุกสนาน คนหนึ่งในนั้นวิ่งหนีเข้ามาในห้องทำงาน อีกคนหนึ่งรีบวิ่งไล่ตามเข้ามาอยู่ๆ ผลักไปที่หลังของอีกฝ่าย คนที่ถูกผลักยืนไม่อยู่ล้มมาข้างหน้า ส่วนศรีษะมาชนโดนท้องน้อยของฉัน จากนั้นก็ถูกดีดกลับไปล้มนั่งลงที่พื้น ร้องเสียงดังอย่างตกใจออกมาว่า “ในท้องของอาจารย์ฉวีมีสปริงด้วย!” ฉันทันทีก็ตระหนักว่าเน่ยชี่ในตันเถียนของฉันนั้นเต็มแล้ว จึงให้น้องชายภรรยาชื่อลู่ชินเหยวียนกับเพื่อนร่วมเรียนของเขาชื่อโจวซิ่นอู่ต่างๆ มาลองเป็นคู่ทดสอบฟาจิ้น สองมือของฉันอยู่ที่เดิมไม่เคลื่อนไหว หายใจออกเบาๆ อีกฝ่ายก็ถูกดีดออกไปแล้ว มีคำกล่าวว่า: “สิ่งอี้สามปีตีคนตาย ไท่จี๋สิบปียังไม่ออกจากประตู (หมายถึงยังใช้การไม่ได้)” ฉันเรียนมวยไท่จี๋ 23 ปี ไหว้ครูเข้าสำนักมา 20 ปี จึงจะพอใช้เน่ยจิ้นฟาคนได้ เป็นเพราะฉันเองปัญาโง่ทึบไร้ความสามารถ ไม่ได้ลงแรงฝึกฝนหนักหน่วง ดังนั้นการเรียนมวยจึงพัฒนาเชื่องช้าอย่างมาก (แน่นอนครับว่า ตรงนี้คือตัวผู้เขียนเองพยายามกล่าวถ่อมตัว)
ฉันร่างกายเตี้ยเล็ก สูงเพียงเมตรหกสิบ คู่ฝึกของฉันโจวซิ่นอู่ยังหนุ่มแน่นแข็งแรง ร่างกายสูงถึงเมตรแปดสิบ ฉันเพียงอาศัยโอกาสรับจิ้นที่เข้ามาของอีกฝ่ายไว้ ชักนำสู่ความว่างเปล่า ปิด (เหอ) เข้าเบาๆ อีกฝ่ายก็ต้องปลิวออกไปแล้ว ฉันเลยถามอาจารย์จิ่งหัวว่า สามารถไปยังสวนสาธารณะลองมือกับคนไม่รู้จักได้หรือยัง อาจารย์จิ่งหัวตอบว่า “สามารถไปทดลองดูได้ แต่ต้องแพ้ห้ามชนะ จำไว้! จำไว้!” ฉันถามอาจารย์จิ่งหัวว่า: ลงมืออยากชนะ เป็นเรื่องปกติธรรมชาติของคน ทำไมกลายเป็นว่าต้องแพ้ห้ามชนะด้วย? อาจารย์จิ่งหัวตอบว่า: “การต่อสู้ของสำนักมวยไท่จี๋นั้นอยู่ที่สานโส่ว (ประลองมืออิสระ) ไม่ใช่ผลักมือ การผลักมือจึงไม่ใช่การแข่งขันกัน แต่คือการฝึกเพื่อเข้าประตูของกงฟูการค้นหาจิ้น, ฟังจิ้น (ฟังแรง), ถามจิ้น (เวิ่นจิ้น), ทดสอบจิ้นระหว่างกัน การฝึกชนิดนี้สามารถเป็นพื้นฐานของการต่อสู้ประลองมือของมวยไท่จี๋ได้ ศิษย์พี่น้องในสำนักสามารถใช้ทดสอบฝีมือระหว่างกันได้ ใช้ทดสอบจิ้นระหว่างกัน ช่วยกันยกระดับฝีมือ ถือว่าเป็นการชนะหรือวินวินทั้งสองฝ่าย หากไม่สามารถสะเทินจิ้นที่เข้ามาได้อย่างสมบูรณ์ ก็สามารถกระโดดออกจากวงตามสถานการณ์ได้ ไม่ถือว่าเสียหน้า แต่ข้อหนึ่ง หากเธอออกไปผลักมือกับพวกสอนตามในสวน พวกเขาถือเป็นเจ้าบ้าน ส่วนเธอนั้นเป็นแขก เธอจะต้องให้ความเคารพต่ออาจารย์ในสวนเหล่านั้น เนื่องจากพวกเขาต้องรักษาหน้าตา ไม่ควรไปทำลายทางทำมาหากินของพวกเขาเด็ดขาด ถึงแม้ว่าทักษะฝีมืออีกฝ่ายไม่เท่าเธอ เธอก็ต้องยอมให้พวกเขาสักสามส่วน จึงถือว่ามีคุณธรรม ข้อสอง เธอเองค่อนข้างมีความสามารถในการเรียนรู้ แต่เธอยังไม่ได้ลงแรงฝึกฝนหนักหน่วง แต่ละวันแค่ฝึกมวยช้ามวยเร็วอย่างละรอบ สะบัดพลองยาวข้างขวายี่สิบครั้ง ข้างขวายี่สิบครั้ง เป็นคนฝึกมวยแต่ยังไม่ใช่ครูมวย แต่อย่างไรเธอก็ฝึกฝนตามขั้นตอนของตระกูลหยาง เคยได้รับการฝึกพื้นฐานมาบ้าง คนฝึกมวยตามสวนพวกนั้นส่วนใหญ่เป็นพวกฝึกแบบออกกำลังกายที่ไม่เคยเข้าประตูมวยฝึกพื้นฐานด้วยซ้ำ หากคนฝึกมวยอย่างเธอไปลองกับพวกออกกำลังกายพวกนั้น แม้ชนะก็ไม่น่าภูมิใจ ดังนั้นหากพบกับคนออกกำลังกายเหล่านี้ เธอควรแพ้ให้พวกเขาไป กระโดดออกมานอกวง ไว้หน้าพวกเขา วันหลังจะได้ไม่มีเรื่องวุ่นวาย หากเธอไปร่วมเข้ากลุ่มกันกับพวกออกกำลังกายพวกนี้บ่อยๆ ก็จะติดนิสัยที่ไม่ดีของการจับดึงผลักกอดทุ่มจากพวกนี้มา ถึงจะทำให้ชื่อเสียงดังเท่าฟ้า ก็มีแต่ข้อเสียไม่มีข้อดี เธอควรงำประกาย หาเพื่อนมวยที่มีไม่กี่คนจากเหล่าผู้ฝึกออกกำลังกายที่มีมากมายเหล่านั้นมาเป็นคู่ฝึก กงฟูย่อมสามารถพัฒนาได้ ในเหล่าเพื่อนมวยเหล่านี้ ต้องเป็นคนที่มียอดอาจารย์ชี้แนะ เธอควรเปิดใจรับฟังพวกเขา เอาข้อดีมาเสริมข้อด้อยของตนเอง”
ฉันปฏิบัติตามคำสอนอาจารย์อย่างระมัดระวัง ค้นหาผู้คนมากมายจากสวนสาธารณะต่างๆ สุดท้ายค้นเจอเพื่อนมวยไม่กี่คน คนที่อายุมากที่สุดคือคุณเจียงฉางเฟิง เขาสามารถนำเน่ยจิ้นภายในออกมานอกร่างกายได้ ถึงแม้ว่าเน่ยจิ้นของเขาจะไม่ใหญ่โต แต่เปรียบกับแรงโง่ถือว่าต่างกันอย่างสิ้นเชิง ถามถึงสำนักอาจารย์ พบว่าเป็นศิษย์ในเข้าประตูของอู๋กงเจี้ยนเฉวียน (ปรมาจารย์มวยไท่จี๋ตระกูลอู๋ คำว่าอู๋กงเป็นคำเรียกแสดงความเคารพ) ศิษย์พี่หงเหวินต๋า ไม่ใช้มือไปจับกุมก็สามารถหนาจิ้นที่เข้ามาของอีกฝ่ายไว้ได้อย่างง่ายดาย (อย่างไม่ต้องใช้แรง) ถามถึงสำนักอาจารย์ เป็นศิษย์ของอาจารย์ลุงเถียนเจ้าหลิน ยังมีได้พบกับคนแก่คนหนึ่งที่สวนสาธารณะฟู่ชิง ไม่ยอมเปิดเผยชื่อแซ่ การชักนำ-ยึดกุม-สะเทินเปลี่ยนแปลง-ฟาจิ้น หยุ่นเหมือนเส้นไหมแทรกเข้ามา ถามถึงสำนักอาจารย์ เป็นศิษย์ของคุณเฮ่อเส้าหรู (ปรมาจารย์มวยไท่จี๋ตระกูลอู๋แบบใหม่) กับเหล่าคนฝึกออกกำลังกายไท่จี๋ที่มีมากมาย ฉันเพิ่งสัมผัสมือก็ประสานมือยอมแพ้ ถอนค่ายไปนอกเมืองเก้าสิบลี้ (สำนวน) วันหลังจะได้ไม่มีเรื่องวุ่นวาย
ทุกวันนี้วงการอู่ซู่นำเอาการผลักมือของมวยไท่จี๋มาเป็นรายการแข่งขัน ความจริงแล้วระดับมาตรฐานการให้คะแนนก็ไม่มีเหตุผลโดยสิ้นเชิง จึงปรากฏความประหลาดสองประการ อย่างแรกคือใช้แรงวัวควายกอดปล้ำทุ่มเหวี่ยง การแข่งขันผลักมือของมวยไท่จี๋ในรายการทีวี ไม่ต้องอาศัยกรรมการมาตัดสินเลย พอนักกีฬาออกมาก็สามารถตัดสินผลที่จะออกมาได้แล้ว หากคนน้ำหนัก 230 ชั่ง (115 กิโลกรัม) แข่งกับคนน้ำหนัก 200 ชั่ง (100 กิโลกรัม) จะต้องเป็นฝ่ายแรกชนะฝ่ายหลังแพ้ ซึ่งหยางกงเส้าโหว, ซุนกงลู่ถังแม้ร่างกายเล็ก แต่อาศัยเน่ยกงเอาชนะ การ “ผลักมือ” ของทุกวันนี้กลับอาศัยแรงวัวควายกอดทุ่มปล้ำเหวี่ยง อาศัยน้ำหนักร่างกายและกำลังดิบชนะกัน แที่จริงคือใช้ทักษะวิธีของมวยปล้ำซวยเจียว ถือว่าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเน่ยกงของมวยไท่จี๋เลยแม้แต่นิดเดียว การฝึกสอนก็ให้นักกีฬาฝึกยกน้ำหนัก หรือไม่ก็ให้นักกีฬาฝึกฝนมวยปล้ำซวยเจียว นักกีฬาเหล่านี้จึงได้ชื่อว่า “รถถัง” ที่กวาดล้างทุกสิ่งที่ขวางหน้าในการแข่งขันผลักมือ คาดไม่ถึงมีปีหนึ่ง ศิษย์หลานของอาจารย์ลุงอู่ฮุ่ยชวนชื่อเหราเส้าผิงลงแข่งขันในเซี่ยงไฮ้ เหล่า “รถถัง” ที่ฝึกยกน้ำหนักและซวยเจียวเหล่านั้น พยายามใช้วิธีติดตัวกอดปล้ำทุ่มเหวี่ยง เหราเส้าผิงคล้อยตามและใช้ชุ่นจิ้นหรือแรงสั้นตีแทรกซึมเข้าใน คู่แข่งก็ทั่วร่างอ่อนยวบลงทันที ไม่สามารถแข่งขันต่อได้อีก เหล่า “รถถัง” ของแต่ละเจ้าก็ตกใจอย่างมาก ค่อยๆ ทะยอยยกธงขาวยอมแพ้ออกจากการแข่งขัน ยกให้เขาขึ้นครองบัลลังค์แชมป์เปี้ยน
อย่างที่สองคือการเอาตาปลามาผสมไข่มุก (หมายถึงการเอาของปลอมมาปนกับของแท้) การจะฝึกฝนนักกีฬาให้มีมวยไท่จี๋ที่มีคุณภาพดีนั้น อย่างน้อยต้องการเวลาหลายปี ไม่เหมือนมวยอื่นที่สำเร็จผลได้ง่าย ดังนั้นคนสอนนักกีฬาเหล่านี้จึงรับเอาพวกการชกมวย, การทุ่มเหวี่ยง, และพวกมวยภายนอกของสำนักต่างๆ ใช้เวลาสักหลายเดือนฝึกฝน สอนพวกเขาเรียนชุดมวยไท่จี๋สักชุด แล้วนำมาผสมเข้าไปในทีมแข่งขันผลักมือ พอขึ้นเวทีก็ฉับพลันใช้เทคนิคภายนอกเหล่านี้ฉวยจังหวะเอาชัย ในปีนั้นกลุ่มผู้ฝึกมวยของญี่ปุ่นเคยมายังเซี่ยงไฮ้เพื่อเชิญครูมวยไท่จี๋ตระกูลหยางไปยังญี่ปุ่นแลกเปลี่ยนทักษะวิชาและสอนการผลักมือ ท่านเจ้ายุทธจักร (น่าจะเป็นการเรียกประชดถึงผู้มีอำนาจรับผิดชอบ) ก็ไปเชิญครูมวยหลานโส่วชื่อเหอปิ่งหยวนมาวาดน้ำเต้าขึ้นมา (หมายถึงวาดตามแบบ ทำตามท่า แต่ไม่มีเนื้อหาที่แท้จริง), ฝึกผลักมือสี่ทิศสักชุด ผ่านการห่อหุ้มด้วยเปลือกเช่นนี้ คนแซ่เหอก็เอาชื่อในฐานะ “ผู้สืบทอดมวยไท่จี๋” เดินทางไปยังญี่ปุ่น กงฟูของมวยหลานโส่วของคนแซ่เหอแต่เดิมก็ลึกล้ำอยู่แล้ว ครูมวยชาวญี่ปุ่นไม่รู้ความนัย ก็เข้าใจว่านี่คือมวยไท่จี๋ตระกูลหยางที่แท้จริงแล้ว มิคาดว่าหลังจากนั้นคนแซ่เหอยังอาศัยชื่อ “ผู้สืบทอดมวยไท่จี๋” ไปทำการสอนในญี่ปุ่นไปกลับมากถึงเจ็ดครั้ง ศิษย์พี่จางอี้ทอดถอนหายใจกล่าวว่า “มวยไท่จี๋ตระกูลหยางนั้นไม่เคยมีว่าสอนชุดมวยโดยไม่สอนผลักมือ หากไม่ยอมสัมผัสมือประลองกับผู้คน ชื่อเสียงอันเลื่องลือของหยางผู้ไร้เทียมทานจะได้มาได้อย่างไร? ทางญี่ปุ่นมีความจริงใจอยากมาเชิญ ตั้งใจเชิญผู้สืบทอดมวยไท่จี๋ไปแลกเปลี่ยน มิคาดกลับถูกพวกครูมวยสำนักหลานโส่วรับสมอ้างแทนไป นับเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่เคยเจอมาในชีวิตเลย”
การแข่งขันผลักมือทุกวันนี้ ไม่เพียงแต่มีพวกฝึกยกน้ำหนัก, พวกฝึกซุยเจียวหรือมวยปล้ำมาเข้าร่วม, แม้แต่พวกมวยสากลและครูมวยสำนักอื่นๆ ก็เข้ามามีส่วนร่วมได้เสียมั่วไปหมด การใช้ท่วงท่าเทคนิคต่างๆ ก็มั่วซั่วปนเป แค่ดูก็แปลกแล้ว แน่นอนว่าทุกมวยทุกค่ายสำนักต่างก็มีข้อดีของตนเอง ฉันเองนั้นหามีเจตนาจะดูหมิ่นดูแคลนไม่ แต่อย่างไรก็ตาม แต่ละค่ายสำนักก็ย่อมมีคุณลักษณะของตัวเอง ไม่ควรสับสนปนเปหากนำเอาอาหารมาเป็นตัวอย่าง เสฉวนรสเผ็ด, ซูโจวรสหวาน, หยางโจวรสชาติสด, กว่างโจวเน้นดิบ, หย่งเจียงเน้นเค็ม, เซี่ยงไฮ้รสเข้มข้น, ต่างก็มีจุดเด่นของตนเอง หากร้านอาหารกวางตุ้งไม่ขายโจ๊กปลาดิบ, แต่เสริฟซุบหมาล่า, หรือร้านอาหารเสฉวนเสริฟฟักเหม็นของหนิงปอออกมาสักจาน, นี่จะไม่ทำให้คนตกตะลึงได้อย่างไร?
จะใช่มวยไท่จี๋ที่แท้จริงหรือไม่นั้น เวลาผลักมือก็แยกแยะออกได้แล้ว เฉิงฝู่กงกล่าวไว้ว่า “หากใช้กำลังมากกว่าไปกดคนผลักคน ถึงแม้ว่าสามารถสะกดคนไว้ได้ ทำให้คนถูกตีออกไปได้ แต่ตัวเองก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงต้องใช้กำลังได้ ผู้รับก็รู้สึกเจ็บปวด แม้ตีคนออกไปได้ก็ไม่เปราะ (เปราะ หมายถึงกระชั้นสั้นเด็ดขาด เหมือนแค่แตะก็ปลิว) ในทางกลับกัน หากฉันใช้แรงไปยึดกุมผู้เชี่ยวชาญมวยไท่จี๋ ก็เหมือนจับลมคว้าเงา ทุกอย่างตกสู้ความว่างเปล่า ก็เหมือนเหยียบน้ำเต้าบนน้ำ ไม่สามารถวางน้ำหนักแรงลงไปได้ อย่างนี้จึงจะเป็นสำนึกที่แท้จริงของมวยไท่จี๋” เพื่อนฝึกมวยพึงจดจำคำของเฉิงฝู่กงไว้ให้มั่น แล้วการแยกแยะมวยไท่จี๋ที่แท้กับปลอมก็จะง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ