หม่าเยว่เหลียง ร่องรอยประวัติศาสตร์แห่งมวยไท่จี๋ตระกูลอู๋
- 03/08/2017
- Posted by: Liang
- Category: ไท่จี๋เฉวียน (มวยไท่เก๊ก)
หม่าเยว่เหลียง 马岳梁 (1901-1998) ชื่อรอง (อักษร) ซงซิ่ว เป็นชาวแมนจู สกุลเดิมคือ หม่ากุยซื่อ บิดามีพี่น้องทั้งสิ้น 11 คน โดยบิดาเป็นคนเล็กสุด ลุงห้าคือฮุ่ยซินอู่ เคยดำรงตำแหน่งปู้จวินถงหลิง (ตำแหน่งทางทหาร เรียกว่าเป็นผู้บัญชาการเก้าประตู) ลุงเก้าเป็นผู้ดูแลยุ้งฉางของนครปักกิ่ง เวลานั้นฉวนโหย่วและปรมาจารย์ของมวยเผ้าฉุยสามดารา (ซานซิงเผ้าฉุย) ซ่งม่ายหลุน ต่างก็สอนมวยที่บ้านพักของฮุ่ยซินอู่
หม่าเยว่เหลียงอายุห้าขวบก็เข้าเรียนที่โรงเรียนส่วนตัว แต่พอถึงอายุสิบห้า ครอบครัวก็ตกต่ำ (เข้าใจว่า เพราะการล่มสลายของราชวงค์ชิง) การเรียนมัธยมปลายก็ถูกระงับไปด้วย ปีหมิ๋นกว๋อที่ 8 (1919) รับจ้างทำงานรับใช้จิปาถะอยู่ในโรงพยาบาลเป่ยจิงเสียเหอ (โรงพยาบาลของคริสต์ที่เผยแพร่ศาสนา) หัวหน้าแผนกตรวจโรคชาวอังกฤษชื่อ Macoy เห็นเขาทำงานได้ดีเยี่ยม ทั้งฉลาดและคล่องแคล่ว แนะนำให้เขาไปเรียนที่โรงเรียนการแพทย์เสียเหอ และยังช่วยสนับสนุนด้านการเงินให้ด้วย หลังจากสี่ปีเรียนจบ หม่าเยว่เหลียงก็เข้าทำงานในแผนกตรวจโรคเป็นหมอตรวจแบคทีเรียและน้ำเหลือง
เนื่องจากเป็นคนชื่นชอบมวยแต่เด็ก หม่าเยว่เหลียงช่วงเวลานั้นมีติดตามครูมวยชื่อดังเรียนมวยเผ้าฉุยสามดารา มวยทงเป้ย มวยเส้าหลิน และซุยเจียว (วิชาทุ่มเหวี่ยง) ต่างๆ ภายหลังยังไปขอลองวิชากับอู๋เจี้ยนเฉวียนบ่อยๆ แต่ร้อยรบร้อยพ่าย ไม่มีที่ทำอะไรได้ ในที่สุดจึงยอมรับนับถือ กราบเป็นอาจารย์ ตามที่หม่าเยว่เหลียงบันทึกไว้ว่า:
ฉันกับอู๋เจี้ยนเฉวียนมีความสัมพันธ์ยาวนานจากรุ่นก่อน ฉันตอนเด็กหลงไหลมวยภายนอก แต่ฝึกฝนนับสิบปีกลับได้รับผลน้อยมาก อาจารย์ (อู๋เจี้ยนเฉวียน) บอกกับฉันว่า : “เรียนมวยสำคัญที่จิตตั้งมั่นเพียงหนึ่ง หากเธอยอมละทิ้งทุกอย่างติดตามฉัน ฉันจะสอนเธอเอง” ดังนั้นฉันจึงติดตามอาจารย์เรียนมวยไท่จี๋ ผ่านฤดูกาลร้อนหนาว (หมายถึงนานวัน) ไม่เคยหยุดยั้ง ค่อยได้เรียนรู้ประโยชน์พิศดารของมวยไท่จี๋
ปีหมินกว๋อที่ 17 อู๋เจี้ยนเฉวียนเดินทางลงใต้ยังเซี่ยงไฮ้ ปีต่อมาหม่าเยว่เหลียงตอบรับคำเชิญของผู้เชี่ยวชาญการศึกษาวิชาแพทย์เยี่ยนฝูชิ่ง ทำการก่อตั้งโรงเรียนการแพทย์ตะวันตกแห่งแรกที่เปิดโดยคนจีนชื่อ จงยางยีเสวียเยวี่ยน (โรงเรียนการแพทย์แห่งชาติ) เวลานั้นมีบุคลากรทางการแพทย์มากกว่าสามสิบคน เวลาเดียวกัน หม่าเยว่เหลียงก็ยังดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายตรวจโรคในโรงพยาบาลขององค์การกาชาดในเซี่ยงไฮ้ และยังเป็นอาจารย์สอนพาร์ทไทม์ในโรงเรียนพยาบาลสาธิต ภายหลังยังเคยเป็นหัวหน้าแผนกตรวจโรคในโรพยาบาลนารีเวช โรงพยาบาลจีน-เยอรมัน โรงพยาบาลเสียเหอในเซี่ยงไฮ้ ต่างๆ ในช่วงปีหมินกว๋อที่ 19 (1930) ด้วยการเป็นพ่อสื่อของศิษย์พี่จินโซ่วเฟิง หม่าเยว่เหลียงกับลูกสาวคนโตของอู๋เจี้ยนเฉวียน อู๋ยิงหัว (1907-1996) ก็แต่งงานกัน
อู๋ยิงหัวนั้นเรียนมวยไท่จี๋จากบิดาตั้งแต่เก้าขวบ ท่ามวยของท่านนั้นอ่อนโยน ละเอียดเรียบร้อย อายุ 17 ก็ช่วยบิดาสอนมวยที่ห้างยาถงเหรินถังในปักกิ่งและที่ต่างๆ แล้ว
ปีหมินกว๋อที่ 10 (1921) ผ่านการเชื้อเชิญของเล่อจิงหยวีแห่งห้างยาถงเหรินถัง อู๋ยิงหัวเดินทางลงใต้ยังเซี่ยงไฮ้ เวลานั้นสอนมวยอยู่ที่บริษัทต่างชาติซีเมนส์ (Siemens) พำนักอยู่ที่บ้านของผู้จัดการใหญ่กวานจื่อชิง และยังสอนมวยอยู่ที่ธนาคารจงหนาน ธนาคารจินเฉิง ต่างๆ
จากปีหมินกว๋อที่ 19 (1930) ถึงหมินกว๋อปีที่ 31 (1942) อู๋ยิงหัวและหม่าเยว่เหลียงพำนักอาศัยอยู่ร่วมกับอู๋เจี้ยนเฉวียนอย่างต่อเนื่อง ดำรงตำแหน่งรองเจ้าสำนักมวยเจี้ยนเฉวียนไท่จี๋เฉวียนเซ่อ (สำนักมวยไท่จี๋ของอู๋เจี้ยนเฉวียน) ช่วยเหลือบิดาสอนมวยไท่จี๋ ในสิบกว่าปี หม่าเยว่เหลียงได้รับการถ่ายทอดจากอู๋เจี้ยนเฉวียนอย่างมากมาย นอกจากนี้แต่ละวันยังอยู่ในสำนักมวยเจี้ยนเฉวียนไท่จี๋เฉวียนเซ่อผลักมือกับลูกศิษย์สิบกว่าคน กงลี่ (พลัง) ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว จนบรรลุถึงขั้นสูง
ปีหมินกว๋อที่ 28 (1939) เดือน 11 เซี่ยงไฮ้ทั้งหมดถูกญี่ปุ่นยึดครอง ฉู่หมินหยีซึ่งเป็นนายกของรัฐบาลปลอมของวังจิงเว่ยซึ่งพึ่งพากองกำลังญี่ปุ่น (ก่อนนี้เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ) เป็นศิษย์ของอู๋เจี้ยนเฉวียน เคยเขียนหนังสือมวยไท่จี๋ สนิทสนมกันดีกับหม่าเยว่เหลียง ออกคำสั่งให้หม่าเยว่เหลียงไปดำรงตำแหน่งประธานสำนักงานสุขภาพ เมืองนานกิง ส่งคนถือหนังสือเชิญมาแสดงความยินดี และส่งให้ไปรายงานตัวรับตำแหน่งในเวลาที่กำหนด แต่พอหม่าเยว่เหลียงได้ข่าว ก็เก็บกระเป๋าหนีออกจากเซี่ยงไฮ้กลางดึก เนื่องจากเวลานั้นมีการตั้งด่านตรวจอย่างเข้มแข็งโดยญี่ปุ่น การคมนาคมถูกตัดขาด หม่าเยว่เหลียงต้องเดินเท้าเพื่อหลบเลี่ยง รวมแล้วหกเดือนกว่า เดินทางสี่พันกว่าลี้ ผ่าน เจ้อเจียง เจียงซี ฟูเจี้ยน (ฮกเกี้ยน) หูหนาน กว่างซี ค่ำไหนนอนนั่น ภายหลังค่อยถึงฉงชิ่งตามปรารถนา
หลังจากถึงฉงชิ่งแล้ว หม่าเยว่เหลียงก็หาพบสือจิ่วหยุนว์ซึ่งเป็นผู้จัดการของสำนักพิมพ์พาณิชย์เซี่ยงไฮ้ (ซ่างไห่ซางอู้ยิ่นซูกว่าน) สือได้แนะนำให้รู้จักกับหมอจีนชื่อดังของฉงชิ่งชื่อจางซีจวิน (ต่อมาได้เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนแพทย์จีนฉงชิ่ง) เนื่องจากจางซีจวินรูปร่างสูงใหญ่ รักชอบศิลปะการต่อสู้ ก่อนนี้เคยจ้างครูมวยหลายคนมาแต่ก็พ่ายในมือของเขาจนหมด ดังนั้นที่ผ่านมาจึงยังไม่เคยหาเจออาจารย์ที่เหมาะสม จางมีนิสัยตรงไปตรงมา พอพบกับหม่าเยว่เหลียงก็พูดขึ้นว่า “ลองทดสอบฝีมือกันก่อนค่อยว่ากัน” พอสัมผัสมือ จางก็กระโดดออกไปทันทีครั้งแล้วครั้งเล่า จนยอมรับนับถือหมดใจ และเชิญหม่าเยว่เหลียงให้พำนักอยู่ด้วย ชีวิตของหม่าเยว่เหลียงจึงได้มีเวลาสงบลง
ในเวลานั้น แม่ทัพระดับสูงของรัฐบาลก๊กมินตั๋งในฉงชิ่ง หัวหน้าของสำนักงานของเจียงไคเช็กนามหลิวเฝ่ย เนื่องจากสุขภาพไม่ดี จึงส่งคนมาเชิญหม่าเยว่เหลียงไปสอนมวย ทุกวันนำรถมารับมาส่ง ฝึกฝนอย่างตั้งใจและอดทน จนเป็นมือดีในวิชามวย ภายหลัง จางฉวิน หลีจี้เซิน หวงเหยียนเผย์ เว่ยลี่หวง หลีหมิงหยาง เหอเจี้ยน ต่างๆ (เชรี่ยยย คนดังทั้งนั้น) คนสำคัญของรัฐบาลและคนสำคัญต่างๆ ต่างก็ล้วนเคยเรียนมวยจากหม่าเยว่เหลียง เจียงไคเช็กติดต่อจะมาเรียนมวยอยู่หลายครั้ง แต่เรื่องยุ่งงานเยอะสุดท้ายก็ไม่ได้มา
มีกล่าวถึงเรื่องหนึ่ง ตอนที่อยู่ที่ฉงชิ่ง มีคนหนึ่งชื่อจางโหมว (จางXX) ฝึกฝ่ามือทรายแดง มาจากเฉิงตูเพื่อเยี่ยมเยือนสถานที่มีชื่อและมาขอผลักมือ เริ่มต้นหม่าเยว่เหลียงปฏิเสธอย่างมีมารยาท แต่จางยังไงก็ไม่ยอมต้องผลักมือให้ได้ หม่าเยว่เหลียงได้แต่ตอบตกลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ คาดไม่ถึงเพราะแตะทาบมือกัน จางก็มือหนึ่งหลีว์ อีกมือหนึ่งทิ่มไปที่ชายโครงของหม่าเย่วเหลียง หม่าเยว่เหลียงจึงไฉ่ทันทีแล้วก็ฟา จางโหมวกระโดดบินออกไปข้างหลัง ส่วนเอวพอดีไปชนเข้ากับมุมโต๊ะเขียนหนังสือ พอนั่งกุมเอวสักพัก ก็รีบร้อนเผ่นจากไป
ปีหมินกว๋อที่ 34 (1945) หลังจากสงครามกับญี่ปุ่นสงบแล้ว หม่าเยว่เหลียงกลับไปยังเซี่ยงไฮ้ เป็นผู้ดูแลการสอนในสำนักเจี้ยนเฉวียนเซ่อ (สำนักมวยไท่จี๋ของอู๋เจี้ยนเฉวียน) ในเวลาเดียวกันก็สอนมวยในสวนสาธารณะต่างๆ มีกล่าวถึงเรื่องหนึ่ง วันหนึ่งสอนมวยเสร็จ สวมชุดยาวกำลังเดินออกจากสวนสาธารณะไว่ทาน อยู่ๆ ได้ยินเสียงจากข้างหลังว่า “ครั้งนี้เอ็งหนีไม่รอดแล้ว” คนนั้นก็ใช้สองมือจะอุ้มหม่าเย่เหลียงยกขึ้นและทุ่มลงพื้น หม่าเยว่เหลียงไม่รอให้อีกฝ่ายโอบแน่น ร่างกายและเอวก็เลี๊ยะแยกทีหนึ่ง คนลอบโจมตีก็บินผ่านหลังของหม่าเยว่เหลียงไป ล้มหงายบนพื้น เนิ่นนานยังลุกไม่ขึ้น ยังมีอีกครั้งหนึ่ง หม่าเยว่เหลียงกำลังนั่งบนตั่งดูการแสดงอยู่ ครูมวยกงเล็บอินทรีจากสำนักมวยจิงอู่นามจูเหลียนเซียงก็อยู่ๆ คว้าคอหม่าเยว่เหลียงจากด้านหลัง หม่าก็เก็บคอบิดเอว จูก็บินลอยล้มลง ในเซี่ยงไฮ้ยังมีครูมวยทงเป้ยชื่อดังนามซุนเฮ่อหยุนว์ เป็นศิษย์หลานของครูมวยทงเป้ยชื่อดังยุคปลายราชวงค์ชิงหลิวอวี้ชุน วันหนึ่งอยากทดสอบกงฟูของหม่าเยว่เหลียง หม่าเยว่เหลียงก็มีอารมณ์สนใจอยากเล่นด้วย สองฝ่ายพอสัมผัสมือ ซุนก็ถูกเกาะติดไว้แล้ว โจมตีก็ไม่อาจเข้า จะหนีก็ไม่อาจถอย เปลี่ยนแปลงก็ไม่ได้ จะสอดแทงมือหรือยกขาก็ทำไม่ออก ก็ได้แต่ยอมแพ้แล้ว
ช่วงหลังปีหมินกว๋อที่ 34 (1945) ในเซี่ยงไฮ้มีทหารอเมริกันมากมาย วันหนึ่ง หม่าเยว่เหลียงเดินผ่านตรอกเล็กตรอกหนึ่ง เห็นทหารอเมริกันตัวสูงใหญ่คนหนึ่งยื่นมือค้ำออกมากลางอากาศ (ฟาดระหว่างตรอก) ให้คนเดินทางต้องก้มหัวเดินลอดผ่านแขนเขาไป มีหลายคนต้องอดทนอัปยศเดินลอดผ่านไป หม่าเยว่เหลียงเห็นเช่นนั้น ก็ใช้ภาษาอังกฤษบอกให้เค้าเอาแขนลงอย่าได้กระทำอะไรที่ไร้อารยะธรรมเช่นนี้ คาดไม่ถึงทหารอเมริกันคนนั้นกลับกำหมัดก็ต่อยใส่หม่า หม่าเยว่เหลียงก้าวหลบไปหนึ่งก้าวแล้วใช้หลีว์ใหญ่ ทหารอเมริกันก็ปลิวออกมา (จากตรอก) จนล้มลง พอยืนลุกขึ้นก็ร้องเอะอะโวยวาย เตะไปยังหม่าเยว่เหลียงอย่างรุนแรง หม่าไม่รอให้ขาของเขายืดตรง ก็ก้าวเท้าเดินเข้าไป ใช้เทพีร้อยกระสวย ฟาทีหลังแต่บรรลุถึงก่อน เข้าสกัดกั้นไว้ ทหารอเมริกันก็เหมือนลูกบอลกระทบกำแพง ร่างก็หงายบินปลิวล้มออกไป พอลุกขึ้นมาปัดฝุ่นดินตามตัว ก็ไม่กล้าบุกอีกแล้ว หันมายกหัวแม่โป้งกดไลค์ให้หม่าเยว่เหลียงประมาณว่าเอ็งแน่มากก็เดินจากไป
เมื่อแรกเข้าสู่สาธารณรัฐ (สาธารณรัฐประชาชนจีน หรือรัฐบาลคอมมิวนิสต์) การเมืองแผ่ขยาย การเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวง การเคลื่อนไหวทางการเมืองเกิดขึ้นต่อเนื่อง ปี 1951 หม่าเยว่เหลียงถูกจับกุมโดยไม่มีความผิด ถูกขังร่วมกับนักพรตจางฮว๋าหลิง สามเดือนให้หลังได้ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเสียเหอประกันตัวออกมาจากคุก ปี 1953 กรมทหารตัดสินให้จำคุกหม่าเยว่เหลียงสามปี ชื่อความผิดคือ “เทียนเต้าฉวนเต้าซือ” (เข้าใจว่าเป็นความผิดเกี่ยวกับการเผยแพร่ลัทธิเต๋า) ปี 1955 ศาลค่อยถูกก่อตั้ง หม่าเย่วเหลียงค่อยถูกปล่อยตัวกลับเซี่ยงไฮ้ ทำงานอยู่ในโรงพยาบาลใหญ่ต่างๆ ของเซี่ยงไฮ้ ปี 1962 ก็เกษียณ ตั้งใจสอนสืบทอดมวยไท่จี๋ ปี 1966 การปฏิวัติวัฒนธรรมเริ่มขึ้น หม่าเยว่เหลียงและครูมวยชื่อดังอีกเก้าคนถูกเรดการ์ดนำตัวไปประจานที่จตุรัสเหรินหมิน ถูกกล่าวหาว่าเป็น “สิบสุดยอดผู้ต่อต้านซึ่งมีอำนาจด้านศิลปะมวย” ทั้งห้ามสอนมวย บ้านถูกค้นและยึดของ บันทึกอันล้ำค่าเกี่ยวกับมวยไท่จี๋ถูกทำลายไป ขณะเดียวกันบ้านที่พักส่วนใหญ่ถูกยึดไป คนในบ้านสิบกว่าคนต้องมาอาศัยพักอยู่ในห้องเดียวกัน
ปี 1978 การปฏิวัติวัฒนธรรมจบสิ้น หม่าเยว่เหลียงกลับมาสอนมวยอีกครั้ง เริ่มแรกสอนที่ อู๋ซี ปี 1979 ประธานสมาคมสุขภาพซวีหุย (ชื่อเขตในเมืองเซี่ยงไฮ้) ชื่อ ซวีเต้าหมิง เชิญสี่สุดยอดครูมวยมี หม่าเย่เหลียง หลวีเจิ้นโต๋ว จี้จิ้นซาน หวังจ้วงเฟย เปิดสอนมวยที่สนามเทนนิสในเขตซวีหุย
ปี 1980 เดือน 7 อู๋ยิงหัวในวัย 75 และหม่าเยว่เหลียงในวัย 80 เพื่อสืบทอดและเผยแพร่มวยไท่จี๋ตระกูลอู๋ จึงได้ทำการรื้อฟื้นสำนักมวยเจี้ยนเฉวียนไท่จี๋เฉวียนเซ่อกลับขึ้นมาจากการสูญหายไปในยุคสมัยแห่งความวุ่ยวายขึ้นมาใหม่ และเมื่อเช่นในอดีต อู๋ยิงหัวเป็นเจ้าสำนัก และหม่าเยว่เหลียงเป็นรองเจ้าสำนัก
จากช่วงปี 80 เป็นต้นมา หม่าเยว่เหลียงกับอู๋ยิงหัวมักจะมีการแสดงมวยไท่จี๋ตามสนามกีฬาและสวนสาธารณะอยู่บ่อยๆ หม่าเยว่เหลียงมักจะแสดงแรงจงติ้งของมวยไท่จี๋ ซึ่งก็คือการยืนขาเดียวในท่าไก่ทองยืนเดี่ยว ซึ่งนี่เป็นการแสดงที่หม่าชื่นชอบและถนัดมากที่สุด ให้คนหกเจ็ดคนเรียงแถวผลักท้องหม่าเยว่เหลียง หม่าเยว่เหลียงออกเสียง “เฮิง” ครั้งหนึ่ง สกัดยังแรงพวกเขา คนหกเจ็ดคนก็ล้มลงพื้นหมดสิ้น ส่วนหม่านั้นแม้นิดก็ไม่ขยับ หม่าเยว่เหลียงครั้งหนึ่งเคยตอบรับการเชิญของบริษัทภาพยนตร์จากฮ่องกงเพื่อถ่ายทำการแสดงไก่ทองยืนเดี่ยวนี้ เพื่อให้ชาวโลกได้เห็นความงดงามของมวยไท่จี๋ตระกูลอู๋ พอการแสดงเริ่มต้น ผู้กำกับก็ขอเชิญหม่าเยว่เหลียงยืนในท่าไก่ทองยืนเดี่ยว คนหกคนของบริษัทภาพยนตร์ก็เรียงแถวสองแถว แต่ละแถวมีสามคน แต่ละคนใช้สองมือผลักหลังของคนข้างหน้า คนหน้าสุดสองคนใช้สองมือผลักไปยังท้องของหม่าเยว่เหลี่ยง ผู้กำกับสั่ง “แอ๊คชั่น” คนทั้งหกก็ออกแรงรวมกันผลักไปข้างหน้า แค่เห็นท้องของหม่าเยว่เหลียงเด้งขึ้นมาครั้งหนึ่ง ตะโกนหนึ่งเสียง คนทั้งสองแถวก็ล้มลงจนหมด คนฝั่งขวาสามคนก็ล้มไปทางขวา คนสามคนฝั่งซ้ายก็ล้มไปทางซ้าย
มีครั้งหนึ่ง หม่าเยว่เหลียงแสดงแรงจงติ้งในท่าไก่ทองยืนเดี่ยวที่สนามกีฬาหลีว์วานในเซี่ยงไฮ้ แสดงเสร็จแล้วครูมวยในเซี่ยงไฮ้ซึ่งค่อนข้างมีชื่อเสียงคนหนึ่งส่งเสียงจากที่นั่งผู้ชมว่าไม่เชื่อว่าจริง อยากขอทดลองดู หม่าเยว่เหลียงตกลง เขาสองมือใช้แรงผลักไปยังท้องหม่าเยว่เหลี่ยง คนก็ถูกดีดลอยกลับไป ล้มหงายลงพื้น หน้าแดงลุกขึ้นมา พูดว่าเมื่อกี้ยังไม่ได้เตรียมพร้อม ขอทดลองอีกหน ครั้งนี้เขาใช้สองมือผลักหม่าเยว่เหลียง แต่อยู่ๆ กลับพลิกมือ คว้าจับส้นเท้าข้างขวาที่หม่าเยว่เหลียงยกไว้อยู่ อยู่ๆ ใช้แรงยกขึ้นบน หวังให้หม่าลอยหงายขึ้น หม่าเยว่เหลียงตอบสนองตามสัญชาติญาณ เท้าขวาจิกปลายเท้าลง ยืดขาดึงกลับไปข้างหลัง เกิดแรงสกัดครั้งหนึ่ง คนผู้นั้นก็ถูกดึงไปตามขาที่หม่าดึงกลับ ถูกหม่าเยว่เหลียงเตะออกไป เนื่องจากคนนั้นใช้แรงอย่างรุนแรง จึงถูกชนออกไปรุนแรงมาก คนล้มคว่ำลงหน้าถูพื้นห่างออกไปหนึ่งจ้างกว่า (3 เมตรกว่า) ข้าวของในกระเป๋าตกหล่นกระจายเต็มพื้น คนในสนามต่างก็แตกตื่นร้องเฮกันยกใหญ่
มีครั้งหนึ่ง หม่าเยว่เหลียงซึ่งอายุใกล้เก้าสิบได้แสดงการผลักมืออยู่ที่สวนสาธารณะเหอผิง อยู่ๆ ก็มีชายแข็งแรงกำยำสามคนเข้ามา สามคนนี้คือศิษย์ของจูโหมวโหม่ว (จูXX) ครูมวยในสวนสาธารณะเหอผิง จูไม่พอใจที่หม่าเยว่เหลียงมาแสดงในสวนที่เขาสอนมวยอยู่ จึงส่งศิษย์สามคนมาเพื่อผลักให้หม่าเยว่เหลียงล้มไป หม่าเย่วเหลียงเห็นผู้มาไม่ดี ยังไม่ทันรอคนแรกลงมือ ถือโอกาสชิงลงมือก่อน หลิงคงไปหนึ่งฝ่ามือ (หลิงคงคือแรงทะยานอากาศ) คนนั้นก็ลอยดีดบินขึ้นไปกลางอากาศ หลังไปกระแทกกำแพง สลบคาที่ ผู้คนต้องเข้าไปวุ่นวายช่วยนวดกดจุดเหรินจงให้ (จุดระหว่างปากกับจมูก เชื่อว่านวดแล้วจะทำให้ฟื้นตื่นจากสภาวะหมดสติ) คนที่สองก็เข้ามาอีก หม่าเยว่เหลียงก็ยื่นมือไปแนบติดยกเขาขึ้นและโยนลงล่างไป เหมือนกับโยนลูกบอล คนนั้นล้มกลิ้งบนพื้นหญ้าอย่างหนักหน่วง เนิ่นนานยังลุกขึ้นมาไม่ได้ คนที่สามเห็นดังนั้นก็ไม่กล้าก้าวออกมาแล้ว
มีอีกครั้งหนึ่ง ด้วยการเชื้อเชิญของลูกศิษย์หลี่หยวนชิ่ง หม่าเยว่เหลียง อู๋ยิงหัว สองผู้เฒ่าได้เดินทางไปยังฉางซาแห่งเจียงหนานเพื่อนสอนมวย ผู้อำนวยการของคณะกรรมการกีฬาเมืองฉางซาก็จัดงานต้อนรับ คิดไม่ถึงหลังงานเลี้ยงเสร็จ ก็มีอาจารย์ไท่จี๋ชื่อดังของเจียงหนานนามฉิวโหมว (ฉิวXX) นำลูกศิษย์สองคนมาขอรับคำชี้แนะ (คือมาขอลองนั่นแหละ) หม่าเย่วเหลียงกล่าวว่าดึกแล้ว ไว้ค่อยหาโอกาสมาใหม่เถอะ ฉิวเห็นว่าขอลองกับหม่าเยว่เหลียงไม่สำเร็จ ก็หันไปขอผลักมือกับอู๋ยิงหัว หม่าเยว่เหลียงเห็นเขารบเร้าไม่เลิกรา จึงกล่าวขึ้นว่า “คุณมรึงอยากผลักมือ ก็เข้ามาเลยม่ะ” หม่าเยว่เหลียงก็ไม่หมุนมือตามฟอร์ม พอแตะมือก็ชักนำวูบ ทันทีก็ฟาจิ้ง ฉิวโหมวก็ยืนไม่อยู่ ตัวก็ถอยปลิวไปข้างหลัง ทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ ทำเอาขาเก้าอี้ยังหักไป ศิษย์ของเขาร่างกายสูงใหญ่ เห็นอาจารย์ถูกตี ก็ก้าวออกมาข้างหน้า หม่าเยว่เหลียงหนึ่งฉุด (ไฉ่) หนึ่งโยน เด็กหนุ่มที่ร่างกายแข็งแรงก็ถูกเหวี่ยงโยนไปบนโต๊ะกินเลี้ยง ทำเอาโต๊ะทั้งอันถูกฟาดแตกไป
ปี 1984 หม่าเยว่เหลียงกับอู๋ยิงหัวตอบรับคำเชิญเดินทางไปยังเยอรมันตะวันตก และร่วมกับลูกชายหม่าเจียงเป้าก่อตั้ง “สำนักมวยเจี้ยนเฉวียนไท่จี๋แห่งยุโรป” ขึ้น มีนักไอคิโดสายดำห้าดั้งชาวเยอรมันถามหม่าเยว่เหลียง ว่าสามารถใช้มวยไท่จี๋ต้านทานการบิดล็อคของเขาได้หรือไม่ หม่าเยวเหลียงตอบว่าได้สิ แล้วก็ยื่นมือขวาให้ คนเยอรมันก็บิดล็อคอย่างรวดเร็ว หม่าเยว่เหลียงก็เปลี่ยนท่า ออกด้วยท่าโลวซีเอ้าปู้ (ปัดเข่ายั้งก้าว) ฝ่ามือซ้ายกดไปยังหลังไหล่ของชาวเยอรมันที่เสียท่าแล้ว ชาวเยอรมันผู้นี้ก็ปลิวล้มออกไป ชนประตูออกไปข้างนอก
ปี 1986 หม่าเยว่เหลียง อู๋ยิงหัว ทั้งสองท่านได้ตอบรับคำเชิญเดินทางไปยังเยอรมันตะวันตกยังเมืองต่างๆ เช่น ดึสเซลดอร์ฟ แฟรงค์เฟิร์ต มิวนิค บอนน์ รวมทั้งเมืองรอทเธอดัมแห่งฮอลแลนด์ เพื่อแสดงและสอนมวยไท่จี๋ตระกูลอู๋แก่ผู้รักมวยไท่จี๋ และยังทดสอบวิชาแก่ผู้ฝึกยูโด คาราเต้ เทควันโด ในท้องถิ่นต่างๆ จนได้รับการเชื่อถือ
ปี 1990 เดือน 8 หม่าเยว่เหลียงในวัย 90 และอู๋ยิงหัวในวัย 85 ตอบรับคำเชิญของศิษย์เหยียนจื่อหยวน เดินทางไปพำนักที่นิวซีแลนด์ครึ่งปี จากคำบอกเล่าของเหยียนจื่อหยวน ช่วงเวลานี้ก็มีเรื่องราวเล่าขานกันมากมาย
หม่าเยว่เหลียงและอู๋ยิงหัว ในชีวิตมีงานเขียนค่อนข้างมาก มี [มวยไท่จี๋ของอู๋เจี้ยนเฉวียน] [อธิบายมวยไท่จี๋ตระกูลอู๋] [การผลักมือของมวยไท่จี๋ตระกูลอู๋] [มวยไท่จี๋ตระกูลอู๋แบบย่อ] [มวยเร็วไท่จี๋ตระกูลอู๋] รวมทั้ง [กระบี่ไท่จี๋ตระกูลอู๋] ต่างๆ มีลูกชายห้าลูกสาวสาม ล้วนแต่ฝึกไท่จี๋