หลิวหยุว์นเฉียว ชื่อรองเซี่ยวเฉิน กำเนิดในมลฑลเหอเป่ย เขตชางโจว ซึ่งเป็นแหล่งวิทยายุทธ์นับแต่โบราณ คนคุ้มภัยในใต้เจ็ดเหนือหกรวมสิบสามมลฑล มีหลักอยู่ข้อหนึ่งว่า ” คุ้มภัยผ่านชางโจวไม่ป่าวร้อง ” เพื่อแสดงความนับถือ บ้าน อ.หลิวฐานะดี แต่ท่าน อ.หลิวในวัยเด็กสุขภาพไม่แข็งแรง ทั้งร่างผอมเหลือกระดูก ส่วนท้องป่องโพง บิดาของท่านจึงได้เชิญ อ.จางเย่าถิง ที่มีชื่อเสียงมารักษา ทุกวันใช้ชี่นวดกายภายใน ครึ่งปีกว่าท้องก็ยุบลง หลังหนึ่งปี เริ่มมีกล้ามเนื้อ บิดา อ.หลิว จึงยกท่านให้ อ.จางเย่าถิง ดูแล หลังอายุห้าขวบ อ.หลิวจึงเริ่มฝึกมวย หมีจงเฉวียน จาก อ.จาง(หมีจงเฉวียน หรือมวยหมีจง มาจาก เยี่ยนชิงเฉวียน เนื่องจากมวยเยี่ยนชิงไม่รู้ต้นกำเนิดที่มา จึงเรียกว่าหมีจง ซึ่งหมายถึง หลงจากต้นกำเนิด อีกเหตุผลคือ ท่าร่างแปลกประหลาด จึงเรียกว่าหมีจง ซึ่งแปลว่า ลึกลับไร้ร่องรอย ซึ่งต่อมามวยนี้ได้มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างยิ่งจากท่าน ฮั่วหยวนเจี๋ย)
มวยหมีจง สาย อ.หลิว
เวลาท่าน อ.หลิว อายุได้เจ็ดขวบ บิดาของท่านได้เชิญยอดยุทธชื่อดังทั่วเจ็ดมลฑลทางภาคเหนือเวลานั้น คือท่านหลี่ซูเหวิน มาสอนวิชา อ.หลี่ซูเหวิน มีชื่อเสียงจากมวยปาจี๋ และทวนใหญ่หกประสาน มีฉายาว่า ” ทวนเทพเจ้าแซ่หลี่(เสินเชียงหลี่) ” อ.หลี่สอนลูกศิษย์อย่างเข้มงวด และเน้น เก็บจิตวิญญาณ ความคิดนิ่งสงบ เก็บใจ เลี้ยงชี่ ทำให้ อ.หลิวซึ่งเป็นคนไม่ชอบอยู่นิ่ง รู้สึกลำบากในการฝึกอย่างยิ่ง
อ.หลี่สอนจริงจังมาก เพียงฝึก อ.หลิวยืนม้า ซึ่ง อ.หลิวรู้สึกว่าการยืนม้านั้นน่าเบื่อยิ่ง จึงพยายามคิดวิธีให้สำเร็จลัดโดยเร็ว แต่ อ.หลี่ ได้พูดไว้ก่อนว่า หากไม่ยืนม้า จะไม่สอนมวย
เวลานี้ อ.จางได้จากไปแล้ว อ.หลิวรู้สึกว่าเป็นคนไม่มีเหตุผล คุยไม่รู้เรื่อง แต่ก็ยังต้องฝึกต่อไป หลังครึ่งปี หลังจากนิสัยดื้อรั้นไม่อดทนของ อ.หลิว ได้ถูกขจัดไปแล้ว อ.หลี่จึงเริ่มสอนวิทยายุทธ์ให้
หลังจากฝึกได้สามปี อ.หลิวได้บอกผู้เป็นบิดาว่าไม่อยากฝึกต่อไปแล้ว เนื่องจากฝึกได้สามปี ได้ฝึกเพียงท่าพื้นฐาน ซึ่งไม่น่าสนใจแม้แต่น้อย อีกทั้ง อ.หลี่ยังไม่ยอมสอนอย่างอื่นให้ บิดา อ.หลิวจึงได้ไปคุยกับ อ.หลี่ซูเหวิน ซึ่ง อ.หลี่ได้ตอบว่า “ เฮอะ เขาไม่ฝึกก็ช่างเถอะ ” บิดา อ.หลิวได้บอกว่า ไม่ใช่ไม่ฝึก แต่อย่างให้ท่านสอนวิชามวย ไม่เอาท่าพื้นฐานแล้ว อ.หลี่จึงตอบเพียงว่า “ ฉันบอกว่าฝึกอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น ”
มวยปาจี๋เฉวียนของ อ.หลิว
อ.หลิวจึงต้องจำทนฝึกต่อไป ไม่นานต่อมา อ.หลี่จึงได้สอน มวยปาจี๋ และทวนใหญ่หกประสานให้ ถึงอายุสิบแปดสิบเก้า กังฟูของ อ.หลิวเก่งมาก อ.หลี่จึงได้พาท่านออกเดินทางหาประสบการณ์ แล้วพาไปเยี่ยมเยียน แม่ทัพจางเสียงอู่แห่งซานตง
แม่ทัพจางเป็นลูกศิษย์ที่มีฝีมือท่านหนึ่งของ อ.หลี่ ก่อนนั้นท่านเคยฝึกมวยไท่จี๋ จาก อ.ซ่งเต๋อโฮ่ว ซึ่งท่านจางนั้นชื่นชอบ อ.หลิวมาก จึงได้สอนมวยไท่จี๋ กระบี่ไท่จี๋ ดาบไท่จี๋ แก่ท่าน อ.หลิวด้วย
ต่อมา ท่านจางได้ แนะนำ อ.หลิว กับท่าน กงเป่าเถียน ฝึกปากว้าจ่าง และชิงกง(วิชาตัวเบา) และเรียนมวยตั๊กแตน กับฝ่ามือหกประสาน จาก อ.ติงจื่อเฉิง
ต่อมา อ.หลิว ได้รับความสนใจจากรัฐบาล ในปีหมิ๋นกว๋อที่สิบแปด อ.หลิวจึงได้รับมอบหมายให้ทำงานสายลับการข่าวทางการทหาร เนื่องจาก อ.หลิวมีวิทยายุทธ์สูง การปฏิบัติงานทุกครั้งจึงบรรลุผลอย่างง่ายดายยิ่ง
สายลับสมัยนั้นใช้หนังสือชื่อ ” เชียนจื้อเหวิน ” มาแบ่งสายลับตามลำดับตัวอักษร อ.หลิว เป็นตัวอักษรเทียน(ฟ้า) ต่อมาจึงมีการเรียกปากต่อปากจนชื่อผิดเพี้ยนกลายเป็นชื่อ “ เทียนจื้อตี้อี้ฮ่าว ” (อักษรฟ้าหมายเลขหนึ่ง)
ตระกูลหลิว เป็นตระกูลใหญ่ในชางโจว ญาติผู้ใหญ่ของ อ.หลิว ล้วนมีตำแหน่งสำคัญทางทหาร และมีการติดต่อกับแม่ทัพซุนฉวนฟางและพรรคพวกอย่างใกล้ชิด เวลานั้นซุนฉวนฟางแอบหลบซ่อนอารามพรต ” จื่อจู๋หลิน ” ภายนอกล้วนเป็นองครักษ์นอกเครื่องแบบ คนภายนอกล้วนมิอาจเข้าได้ ท่าน อ.หลิวได้พาซือเจี้ยนเฉียว เข้าไปสังหารซุนฉวนฟาง อย่างง่ายดาย ทำให้ทั่วเมืองจีนและต่างประเทศเวลานั้นล้วนตกใจกับข่าวนี้
ก่อนสงครามญี่ปุ่น เมืองเทียนจิน เป็นเขตเช่าฝรั่งสำนักมวยอยู่ร้อยกว่าแห่ง เวลานั้นมีคนญี่ปุ่น ชื่อไท่เถียนเต๋อซานหลาง เก่งดาบญี่ปุ่น ได้ประกาศท้าสู้วงการมวยของเมืองจีนที่เทียนจิน เวลานั้นไม่มีผู้ใดกล้าต่อสู้ อ.หลิวรีบเดินทางจากชางโจวถึงเทียนจิน นัดสู้ที่ สวนสาธารณะกลางเมือง สุดท้าย อ.หลิว ชนะโดยวิชากระบี่จีน
ต่อมา อ.หลิวได้รับคำสั่งสังหารเหล่าคนขายชาติ โดยเฉพาะ ถังเส้าหยี เพื่อให้ผู้คนได้พึงพอใจ เนื่องจากชาวจีนรังเกียจคนผู้นี้อย่างมาก ซึ่งถังเส้าหยีเป็นผู้ได้รับมอบหมายจากญี่ปุ่นให้เป็นผู้ปกครองเทียนจินเพื่อควบคุมชาวจีน อ.หลิวจึงได้วางแผนอย่างรัดกุม และสังหารสำเร็จได้อย่างราบรื่น
จากเทียนจินออกมา เนื่องจากการเดินทางไม่สะดวก อ.หลิว ได้เดินเท้าไปมลฑลซานซี เวลานั้นเป็นช่วงสงคราม ถนนล้วนถูกควบคุม ท่านไม่ได้ระวังก็ถูก กลุ่มทหารที่แปรภักดิ์ช่วยเหลือญี่ปุ่นจับตัวไป เนื่องจาก อ.หลิวดูน่าสงสัย จึงถูกจับเข้าอยู่ในคุก โดยที่ไม่รู้ว่าท่านก็คือ “ อักษรฟ้าหมายเลขหนึ่ง ” จึงขังไว้รวมกับนักโทษทั่วไป แต่เนื่องจาก อ.หลิว ดูหนุ่มแน่นแข็งแรง ทหารญี่ปุ่นจึงได้ล่ามตรวนท่านไว้
ประตูคุกทำจากไม้ขนาดใหญ่ ทุกคืน อ.หลิวใช้เวลาหนึ่งส่วนยกไม้ประตูเหล่านั้น ผ่านไปสิบกว่าวัน ไม้ก็หลวมลง มีอยู่หนึ่งคืน อ.หลิวได้ดึงไม้ออก และท่านได้ปลุกเรียกคนในห้องนั้นราวยี่สิบสามสิบคน ให้หนีไป ทุกคนจึงได้เงียบเสียงและหนีไปพร้อมกัน อ.หลิว ได้หนีพราง หลบซ่อนพลาง จนพบกับรั้วลวดหนามกำแพงค่าย มองดูสูงราวสองสามจ้าง(หนึ่งจ้างยาว 3.3 เมตร ) ท่านจึงได้หายใจเข้าเฮือกหนึ่งแล้วกระโดดข้ามไป ยังไม่ทันตกถึงพื้น ก็ได้ยินเสียงปืนยิงไล่หลังมา พอท่านตกลงมา ก็วิ่งจากไปราวสายลม
ท่านวิ่งต่อไปจนเจอแม่น้ำหวง(หวงเหอ) ข้างหน้ามีแม่น้ำใหญ่ ข้างหลังมีทหารตามมา ท่านได้ใช้ถุงน้ำมันห่อต้นปอ ใช้พยุงตัว แล้วกระโดดลงน้ำ ลอยตามน้ำไปสามสิบกว่าลี้ ก็พบทหารจีนที่อยู่ฝ่ายญี่ปุ่นอีกกลุ่ม อ.หลิวบอกว่า “ เราท่านต่างล้วนเป็นคนจีน เป็นลูกหลานชาวจีนที่มีน้ำใจ มีเลือดระอุ ทำไมช่วยชาวญี่ปุ่นทำเรื่องที่ต่ำช้าเช่นนี้ “ ทหารเหล่านั้นละอายแก่ใจ จึงปล่อย อ.หลิวไป
กลับไปแล้ว อ.หลิวได้ล้มป่วย ท่านได้พักฟื้นที่ซีอาน ที่ รพ. ซีจวิน เตียงของท่านพอดีอยู่ข้าง คนเขียนบทละครที่เคยไปเรียนที่เยอรมัน ชื่อเฉินเฉวียน ซึ่งต่อมาได้เอาเรื่องนี้เขียนเป็นละครเรื่อง “ เหย่เหมยกุย ” อันมีชื่อเสียง
สงครามจบแล้ว ผู้กำกับที่มีชื่อเสียง ถู กวางฉี่ ได้สร้างหนังตามบทละครนี้ชื่อว่า “ เทียนเซี่ยตี้อี้ฮ่าว(ใต้ฟ้าหมายเลขหนึ่ง) ” ซึ่งเป็นที่มาของภาพยนต์สายลับอีกหลายเรื่อง